วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ใบงานที่3 บทความสารคดีขนมหวาน








Internationale Kochkunst Ausstellung Olympics (IKA Olympics) หรือโอลิมปิกการทำอาหาร เป็นมหกรรมการแข่งขันทำอาหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก จัดเป็นประจำทุก ๔ ปี มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๐๐
ค.ศ. ๑๙๘๘ เชฟจำนงค์ นิรังสรรค์ (นายกสมาคมพ่อครัวไทยคนปัจจุบัน) คือหนึ่งในผู้ร่วมแข่งขันกับทีมชาติ และสามารถคว้าเหรียญทองมาครองได้ ๗ เหรียญทอง ๑ เหรียญเงิน ต่อมา ค.ศ. ๑๙๙๖ ไทยได้ส่งพ่อครัวไปร่วมแข่งขันอีกครั้ง
จากนั้นก็ขาดช่วงไปกว่า ๑๖ ปี
สองปีที่แล้วในการแข่งขันซึ่งจัดขึ้นที่เมืองแอร์ฟูร์ท (Erfurt) ประเทศเยอรมนี ระหว่าง ๕-๑๐ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๒ มีผู้ร่วมแข่งขันถึง ๕๔ ประเทศ หนึ่งในนั้นคือประเทศไทยที่หวนกลับเข้าร่วมแข่งภายใต้การผลักดันของสถาบัน Thailand Culinary Academy  ผลคือผู้แข่งขันจากไทยคว้าเหรียญทองสี่รายการ ได้แก่ ประเภทบุคคลมืออาชีพ-ขนมหวานยุโรป (patisserie) จาก กนก ชวลิตพงศ์, เค้กแต่งงาน จาก นันทวัฒน์ นันทะเนตร, งานน้ำตาลประดิษฐ์ จาก บุลลชัย อภิวัฒนศร และการปรุงอาหารร้อน จากทีมเยาวชนไทย
“เมื่อก่อนทางบ้านไม่ได้มีฐานะเลย พ่อแม่รับราชการทั้งคู่ เงินเดือนไม่พอเลี้ยงลูก ๆ  สิ่งที่แม่ช่วยครอบครัวคือทำขนมเค้ก คุกกี้ แล้วส่งขาย เริ่มจากทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน เราก็ได้ช่วยแม่ทำเลยซึมซับมาว่าการทำขนมช่วยให้มีรายได้ เป็นจุดเริ่มต้นให้เห็นว่าเป็นอาชีพที่เราพึ่งพาตนเองได้”
กนก ชวลิตพงศ์ คนไทยผู้คว้าเหรียญทองประเภทบุคคลมืออาชีพในการทำขนมหวานสไตล์ยุโรป เล่าถึงจุดเริ่มต้นความสนใจทำขนมตั้งแต่ยังเด็ก

ปัจจุบันเขามีตำแหน่งงานเป็นที่ปรึกษาให้บริษัท Fonterra แบรนด์นำเข้าผลิตภัณฑ์นมจากนิวซีแลนด์มาได้ร่วม ๑๐ ปี ซึ่งต่างจากความคาดหมายทั่วไปว่าผู้ชนะการแข่งทำอาหารต้องทำงานเป็นเชฟในโรงแรมชื่อดัง
“เป็นงานเชิงเทคนิคบวกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ คือรู้ว่าตัวสินค้าอย่างเช่นเนย ชีส นำไปทำขนมอะไรได้บ้าง และมีหน้าที่พัฒนาสูตร คิดสินค้าให้ลูกค้า เพื่อให้เอาไปใช้ในกลุ่มตลาด food service อย่างกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร เบเกอรี”
ย้อนไปสมัยที่คนไทยยังไม่คุ้นเคยกับคำว่าเชฟ เขาเลือกเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) คณะวิชาคหกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตพระนครใต้ (ปัจจุบันคือ มทร. กรุงเทพพระนครใต้)  แต่หลังจากฝึกงานในโรงแรมก็พบว่าไม่ชอบ จึงหันเหไปเรียนสาขาอุตสาหกรรมอาหาร แต่ก็ยังไม่ใช่งานที่ใช่  ตัดสินใจเรียนต่อระดับปริญญาโท คณะคหกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่มที่บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร ก่อนจะย้ายมาทำงานที่ Fonterra  ที่นี่เองทำให้เขาได้ฝึกฝนพัฒนาด้านการทำขนม ได้คลุกคลีกับวงการเชฟจากการไปแนะนำสูตรอาหารต่าง ๆ
หลังจากสั่งสมความรู้มาหลายปี กนกเริ่มมองหาลู่ทางใหม่ ๆ เพื่อเข้าสู่วงการเชฟ จึงเข้าร่วมการแข่งขันทำขนมหวานในรายการ Food and Hotel Thailand ในปี ๒๕๕๓ ประกวดด้านประติมา-กรรม (show piece) แต่ด้วยความไม่เคยแข่งมาก่อน ไม่เข้าใจกฎกติกาดีพอ นอกจากไม่ได้รางวัลติดมือ คะแนนยังอยู่ในกลุ่มรั้งท้าย
แต่ในความพ่ายแพ้ครั้งนั้น เปิดโอกาสให้เขาได้พบเชฟวิลล์เมนต์ ลีออง (Willment Leong) เชฟชาวสิงคโปร์ ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารประจำโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด ผู้ก่อตั้ง Thailand Culinary Academy ซึ่งเป็นผู้พาเขาเข้าสู่เส้นทางประกวดแข่งขันอีกหลายครั้ง ตั้งแต่การแข่งขันที่ปีนัง ประเทศมาเลเซีย ได้อันดับที่ ๒, เกาหลีใต้ ได้เหรียญเงินในสาขา plate dessert ซึ่งเป็นการประกวดขนมสี่จานที่เน้นความสวยงาม, งาน petit four หรือการทำขนมชิ้นเล็กมากขนาดไม่เกิน ๑๒ กรัม เน้นความแม่นยำของขนาด องศาการจัดเรียง น้ำหนักของขนม ก่อนจะเข้าแข่งประเภท show piece อีกครั้งในงาน Food and Hotel Thailand ในปีถัดมา และคว้าเหรียญทองแดงมาได้
ความพยายามแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศจนสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจของกนก ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจเข้าร่วมทีมแข่งโอลิมปิกในปี ๒๕๕๕ ภายใต้การนำของเชฟวิลล์เมนต์ที่ต้องการสนับสนุนพ่อครัวคนไทย ด้วยการหาสปอนเซอร์สนับสนุน และอุทิศเวลาสอนการทำอาหารต่าง ๆ ให้
เชฟวิลล์เมนต์เกิดในครอบครัวยากจนมากที่สิงคโปร์ เรียนไม่จบ แต่ได้มาทำงานในโรงแรมตั้งแต่เป็นคนเตรียมของในห้องครัว ก่อนจะหาความก้าวหน้าทางอาชีพนี้จากการเข้าแข่งขันทำอาหารเชฟกว่า ๒๐ ครั้งโดยไม่เคยได้รางวัลติดมือเลย ก่อนจะปรับปรุงและพัฒนาจนพบแนวทาง แข่งชนะทุกครั้งมาเรื่อย ๆ ต่อมาเข้ามาทำงานในเมืองไทยและใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กว่า ๑๐ ปีแล้ว
“เชฟบอกว่าในสิงคโปร์ เชฟที่ทำงานในโรงแรมไม่มีโอกาสหรือมีชื่อเสียงเหมือนเชฟในเมืองไทย  มาอยู่เมืองไทยแล้วมีโอกาส เชฟจึงรู้สึกอยากตอบแทนบุญคุณให้ประเทศไทย และอยากให้โอกาสคนไทยบ้าง” กนกเท้าความถึงผู้ที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักของการเข้าประกวด
“เชฟบอกผมเสมอว่า เขาไม่ได้คัดเลือกคนเพราะความเก่ง แต่ต้องมีพาสชัน (passion) ต้องมีแรงขับดันที่ต้องการทำให้งานดีที่สุด  เชฟให้โอกาสทุกคน คนเก่งในไทยมีมากไหม มี และต้องยอมรับว่ามีหลายคนเก่งกว่าผม แต่ที่เชฟให้โอกาสผม เพราะเขามองว่าผมพัฒนาได้ เขามองเห็นพัฒนาการจากตั้งแต่วันแรกที่ผมทำไม่ได้เลย”
กนกเสริมว่าคนเก่งหลายคนมักคิดว่าผลงานของตนเองดีแล้ว จนไม่ยอมรับผลการตัดสินและคำวิจารณ์จากคณะกรรมการ ทั้งที่คำวิจารณ์นั้นมีประโยชน์อย่างมากสำหรับนำไปปรับปรุงและทำให้ผลงานดีขึ้นเรื่อย ๆ ในการแข่งขัน
การเก็บตัวฝึกซ้อมสำหรับการแข่งโอลิมปิกการทำอาหารเป็นไปอย่างหนัก รวมระยะเวลา ๓ เดือน  กนกเล่าว่าเขาใช้เวลาหลังเลิกงานทำขนมทุกวัน เพื่อในวันสุดสัปดาห์เขาต้องนำเสนอรายการอาหารตามโจทย์ที่ตนเองแข่ง โดยมีเชฟผู้มีชื่อเสียงทั้งไทยและต่างประเทศมาวิจารณ์และแนะนำการปรับปรุงงาน  สิ่งที่ดีเก็บไว้ ส่วนที่เหลือเปลี่ยนหมด ทำเช่นนี้ซ้ำ ๆ จนผ่านทุกรายการ เพื่อให้ ณ วันแข่งขันจะสามารถทำงานและนำเสนองานได้อย่างรวดเร็วที่สุด ดีที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุด
แต่แม้ทุกอย่างจะซักซ้อมและตระเตรียมมาอย่างดี ในวันแข่งก่อนออกเดินทางไปยังสถานที่จัดงานซึ่งอยู่ห่างไป ๖๐ กิโลเมตร ก็เกิดอุบัติเหตุทำให้ช็อกโกแลตส่วนตกแต่งของงาน show piece ซึ่งใช้เวลาทำถึง ๒ วันเกิดเสียหาย ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงแค่ ๒ ชั่วโมง กนกต้องใช้มันสำหรับการแข่งขัน
เชฟจำนงค์บอกกนกว่า “คุณไม่ต้องวิตกนะ ขอให้ตั้งใจที่สุดในการแข่งขัน ทำจานของคุณให้เรียบร้อย ส่วนที่เป็นงาน show piece ทิ้งไว้ทีหลัง อย่าไปกังวล”  ขณะที่เชฟแดง (นันทวัฒน์ นันทะเนตร) ได้เรียกทีมงานมาช่วยทำช็อกโกแลตขึ้นใหม่จนเสร็จทันเวลา
ในที่สุดหลังจบการแข่งขันที่ใช้เวลา ๒ ชั่วโมงเพื่อทำ plate dessert สี่จาน petit four ห้าอย่าง อย่างละหกชิ้น ก็คว้าเหรียญทอง ซึ่งหมายถึงทำคะแนนได้สูงกว่า ๙๐ คะแนนเพียงคนเดียวในงาน plate dessert  กนกกล่าวขอบคุณทุกคนว่า
“ถ้าผมทำเพียงคนเดียว เราจะไม่มีทางได้เหรียญทอง แต่เพราะเราทำงานเป็นทีม ผมมีหน้าที่แข่ง คนขับรถพาเราไปสำรวจเส้นทาง มีคนทำหน้าที่ขับรถหาอาหารจ่ายตลาดให้ตามที่เราต้องการ คนที่ทำหน้าที่ตกแต่ง คนคอยเตรียมของและเก็บร้าน ในการแข่งขัน ทีมสนับสนุนสำคัญมาก เพราะลำพังงานที่เราทำก็หนักมากอยู่แล้ว”
กนกเว้นการแข่งขันไป ๑ ปี ปีนี้เขากลับสู่สนามอีกครั้ง โดยงานใหญ่คือรายการ Culinary World Cup ที่ประเทศลักเซมเบิร์กในเดือนพฤศจิกายนนี้
หลังจากงานโอลิมปิก กนกมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการเชฟ และเก็บเงินเปิดโรงเรียนสอนทำขนม (Petit Four) ในวันเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนี้ยังเริ่มฝึกและให้คำแนะนำแก่เยาวชนเพื่อสร้างเด็กรุ่นต่อไป
กนกเห็นว่ายังมีการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้คนไทยอีกมาก แต่คนไทยยังขาดคนชี้แนะ และจากประสบการณ์ของเขาในหลายสนาม พบว่าคนไทยยังเข้าใจผิดหลายอย่าง “คนไทยไม่ค่อยอ่านกฎกติกามารยาท ทุกบรรทัดคุณต้องอ่านให้เข้าใจ ถ้าคุณไม่เข้าใจต้องถามคนอื่น อย่าเดาเองว่าคืออะไร อย่าเดาว่าในสนามเขาจะให้อะไรคุณบ้าง”
สิ่งที่เขาย้ำที่สุดคือ “การไม่หยุดอยู่กับที่” เพราะแม้เขาจะประสบความสำเร็จครั้งนี้ แต่ก็ต้องเรียนรู้อีกมาก
“ผมบอกกับทุกคนว่า ผมไม่ใช่คนเก่งนะ  สิ่งหนึ่งที่ผมได้ คือได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่ และผมไม่เคยหยุดพัฒนาตนเอง พยายามฝึกฝนตนเองไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และพัฒนามาตรฐานขึ้นเรื่อย ๆ
- See more at: http://www.sarakadee.com/2014/11/25/chef-kanok/#sthash.wFxkkdmD.dpuf

ใบงานที่2 ความรู้เรื่องบล็อก



http://www.slideshare.net/dektomtam/ss-6385421


Blog คืออะไร           Blog เป็นคำรวมมาจากศัพท์คำว่า เว็บล็อก (WeBlog) สามารถอ่านได้ว่า We Blog หรือ Web Log ไม่ว่าจะอ่านได้อย่างไรทั้งสองคำนี้ก็บ่งบอกถึงความหมายเดียวกัน ว่าคือบล็อก (Blog)
          คำว่า "บล็อก" สามารถใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
ความเป็นมาของบล็อก          “Weblog” ถูกใช้งานเป็นครั้งแรกโดย Jorn Barger ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1997 เริ่มแรกคนที่เขียนบล็อกนั้นยังทำกันในระบบ Manual คือเขียนเว็บเพจขึ้นเองทีละหน้า เขียนเป็นงานอดิเรกของกลุ่มสื่ออิสระต่างๆ หลายๆ แห่งกลายเป็นแหล่งข่าวสำคัญให้กับหนังสือพิมพ์หรือสำนักข่าวชั้นนำ แต่ในปัจจุบันนี้ผู้คนหลายล้านคนจากทั่วทุกมุมโลก หันมาเขียนบล็อกกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา อาจารย์ นักเขียน ตลอดจนผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ อีกทั้งยังมีเครื่องมือหรือซอฟท์แวร์ให้เราใช้ในการเขียนบล็อกได้มากมาย เช่น Drupal, WordPress, Movable Type เป็นต้น ต่อมามีฝรั่งที่ชอบเรียกสั้นๆ ชื่อนาย Peter Merholz จับมาเรียกย่อเหลือแต่ “Blog” แทนในเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1999 และคำคำนี้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกๆ ผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์และนิตยสาร จนมาถึงวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2003 ทาง Oxford English Dictionary จึงได้บรรจุคำว่า blog ในพจนานุกรม แสดงว่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ บล็อก (Blog) ขึ้นแท่นศัพท์ยอดฮิต อันดับหนึ่ง ซึ่งถูกเสาะแสวงหา ความหมาย ทางพจนานุกรมออนไลน์ มากที่สุด ประจำปี 2004 และคนเขียนบล็อกก็ได้รับการยอมรับจากสื่อและสำนักข่าวต่างๆ ถึงความรวดเร็วในการให้ข้อมูลตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนกระทั่งเรื่องราวของการประชุมระดับชาติ และจากเหตุการณ์เหล่านี้ นับได้ว่าบล็อกเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่ไม่ต่างจาก วีดีโอ, สิ่งพิมพ์, โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งวิทยุ เราสามารถเรียกได้ว่าบล็อกได้เข้ามาเป็นสื่อชนิดใหม่ที่สำคัญอย่างแท้จริง
          สำนักข่าวเอพีรายงานว่า “เว็บไซต์ ดิกชั่นนารีหรือ พจนานุกรมออนไลน์ “เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์” ได้ประกาศรายชื่อ คำศัพท์ซึ่งถูกคลิก เข้าไปค้นหา ความหมายผ่าน ระบบออนไลน์มากที่สุด 10 อันดับแรกประจำปีนี้ ซึ่งอันดับหนึ่งตกเป็นของคำว่า “บล็อก” (blog) ซึ่งเป็นคำย่อของ “เว็บ บล็อก” (web log) โดยนายอาเธอร์ บิคเนล โฆษกสำนักพิมพ์พจนานุกรมฉบับ เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ กล่าวว่า สำนักพิมพ์ได้เตรียมที่จะนำคำว่า “บล็อก” บรรจุลงในพจนานุกรมฉบับล่าสุดทั้งที่เป็นเล่มและ ฉบับออนไลน์แล้ว แต่จากความต้องการของผู้ใช้ที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้เมอร์เรียม-เว็บสเตอร์ตัดสินใจบรรจุคำว่า “บล็อก” ลงในเว็บไซต์ในสังกัดบางแห่งไปก่อน โดยให้คำจำกัดความไว้ว่า “เว็บไซต์ที่บรรจุ เรื่องราวเกี่ยวกับบันทึกส่วนตัวประจำวัน ซึ่งสะท้อนถึงมุมมอง ความคิดเห็นของบุคคล โดยอาจรวมลิงค์เชื่อมต่อไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ตามความประสงค์ของเจ้าของเว็บบล็อกเองด้วย” โดยทั่วไปคำศัพท์ที่ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมนั้นจะต้องผ่านการใช้งาน อย่างแพร่หลาย มาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งหมายความว่าคำคำนั้นจะต้องถูกนำมาใช้โดยทั่วไปในระยะเวลาหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคำศัพท์ ทางเทคโนโลยีรวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไข้หวัดซาร์ส ถูกบรรจุลงในพจนานุกรมภายในระยะเวลาอันสั้น
          บล็อกมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันในวงการสื่อมวลชนในหลายประเทศ เนื่องจากระบบแก้ไขที่เรียบง่าย และสามารถตีพิมพ์เรื่องราวได้โดยไม่ต้องใช้ความรู้ในการเขียนเว็บไซต์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล หรือแนวความคิด โดยการเขียนบล็อกสามารถเผยแพร่ข้อมูลสู่ประชาชนได้รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าสื่อในด้านอื่นจากความนิยมที่มากขึ้น ทำให้หลายเว็บไซต์เปิดให้มีส่วนการใช้งานบล็อกเพิ่มขึ้นมาในเว็บของตนเอง เพื่อเรียกให้มีการเข้าสู่เว็บไซต์มากขึ้นทั้งผู้เขียนและผู้อ่าน




ความหมายของคำว่า Blog          บล็อก คือรูปแบบหนึ่งของเว็บไซต์ เป็นการบันทึกบทความของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของบล็อกนั้นสามารถครอบคลุมได้ทุกเรื่อง มีเนื้อหาได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัวที่สามารถเรียกได้ว่า ไดอารีออนไลน์ หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่างๆ สามารถใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร การประกาศข่าวสาร การแสดงความคิดเห็น การเผยแพร่ผลงาน ในหลายด้าน เช่น สิ่งแวดล้อม การเมือง เทคโนโลยี กีฬา ธุรกิจการค้า เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่างๆ อีกมากมาย ตามความถนัด ความสนใจของเจ้าของบล็อก เพราะสิ่งสำคัญที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อกนั่นเอง
          บล็อกถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้ที่ลำดับแรกสุด โดยปกติบล็อกจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงค์ และสื่อชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพลง วิดีโอ หรือสื่ออื่นๆ ที่สามารถแสดงผลผ่านเว็บไซต์ได้
          จุดเด่น และจุดแตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกเป็นเครื่องมือสื่อสารที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายผ่านทางระบบการแสดงความคิดเห็น (Comment) ของตนเองใส่ลงไปในบทความนั้นๆ ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที บล็อกบางแห่งจะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่น กลุ่มเพื่อนๆ หรือครอบครัว

ส่วนประกอบของ Blog          บล็อกประกอบไปด้วยส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ
          1. หัวข้อ (Title)
          2. เนื้อหา (Post หรือ Content)
          3. วันเวลาที่เขียน (Date/Time)
การใช้งานบล็อก          ผู้ใช้งานบล็อกจะแก้ไขและบริหารบล็อกผ่านทางเว็บบราวเซอร์เหมือนการใช้งานและอ่านเว็บไซต์ทั่วไป โดยจะมีรูปแบบบริหารบล็อกที่แตกต่างกัน เช่นบางระบบที่มีบรรณาธิการของบล็อก ผู้เขียนหลายคนจะส่งเรื่องเข้าทางบล็อก และจะต้องรอให้บรรณาธิการอนุมัติให้บล็อกเผยแพร่ก่อน บล็อกถึงจะแสดงผลในเว็บไซต์นั้นได้ ซึ่งจะแตกต่างจากบล็อกส่วนตัวที่จะให้แสดงผลได้ทันที
          ผู้เขียนบล็อกในปัจจุบันจะใช้งานบล็อกในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งไม่ว่า ติดตั้งซอฟต์แวร์ของตัวเอง หรือใช้งานบล็อกผ่านทางเว็บไซต์ที่ให้บริการบล็อก ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องมีพื้นฐานความรู้ในด้าน HTML หรือการทำเว็บไซต์แต่อย่างใด ทำให้ผู้เขียนบล็อกสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ในการบริหารจัดการ เพิ่มเติม ข้อมูลและสารสนเทศแทนได้ นอกจากนี้ระบบการจัดการบล็อกจะสนับสนุน ระบบ WYSIWYG ซึ่งทำให้ง่ายต่อการเขียน และอาจเพิ่มเติมการมีเทมเพลตในหลายแบบให้เลือกใช้
          สำหรับผู้อ่านบล็อกจะใช้งานได้ในลักษณะเหมือนอ่านเว็บไซต์ทั่วไป และสามารถแสดงความเห็นได้ในส่วนท้ายของแต่ละบล็อกโดยอาจจะต้องผ่านการลงทะเบียนในบางบล็อก นอกจากนี้ผู้อ่านบล็อกสามารถอ่านบล็อกได้ผ่านระบบฟีด (Feed) ซึ่งมีให้บริการในบล็อกทั่วไป ทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านบล็อกได้โดยตรงผ่านโปรแกรมตัวอื่นโดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาสู่หน้าบล็อกนั้น